ภาพและบทความนี้มีลิขสิทธิ์ตามกฏหมาย

น้ำแก้วเดียวในทะเลทราย
ย่อมมีค่ามากกว่าน้ำเต็มตุ่มข้างแม่น้ำ!!
.
ในยามวิกฤตเงินทุกบาทสำคัญหมด
ยิ่งในวันที่หัวแรงหลักของบ้านต้องจากไป
ไม่สำคัญว่าหัวหน้าครอบครัวเคยหาเงินเก่งแค่ไหน
สำคัญว่า “เหลือ” ให้คนข้างหลังเท่าไหร่
.
หลายครอบครัว เมื่อสามีจากไปก่อนวัยอันสมควร
ภรรยาต้องทำงานหนักขึ้นเป็นสองหรือสามเท่า
เพื่อหารายได้มาจัดการภาระค่าใช้จ่ายที่เท่าเดิม
แน่นอน...เวลาที่เธอมีให้ลูกน้อยลง
.
ลูกๆ อาจต้องย้ายมาเรียนในโรงเรียนที่ค่าเทอมถูกลง
หลายคนอาจไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย
เพราะไม่อยากให้แม่ลำบาก
ขอพักการเรียนแล้วออกมาทำงานเลย
ทั้งที่อนาคตทางการศึกษาของเขาสดใส
.
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีอยู่แค่หน้าหนังสือพิมพ์
หรือกระทู้ขอความช่วยเหลือบนโลกออนไลน์
มันเกิดขึ้นทุกวัน แต่ไม่ได้ถูกเปิดเผยทุกครอบครัว
.
ผมถามคุณสักนิดเถิดครับ
ถ้าวันนี้บริษัทลดเงินเดือนคุณลง 10% 
คุณจะลาออก
หรือ จะทำงานต่อครับ?
.
อึดอัดใช่ไหมครับ?
แต่ก็ยังทำต่อ เพราะงานหายาก เงินก็เช่นกัน
.
แต่วันนี้บริษัทเกิดใจดี แบบนี้หล่ะ?
คือหากพนักงานเสียชีวิต
บริษัทยังจ่ายเงินเดือนให้ครอบครัวผู้เสียชีวิต
ต่อไปอีก 5 ปี
(ผมแน่ใจว่า ไม่มีบริษัทใดในโลกจะยอมทำแบบนี้)
.
หากบริษัทยอมจ่ายแบบนี้
ลูกและภรรยาเขา ก็ยังพอมีทางเตรียมตัว
มีทางขยับขยายได้ เพราะรายได้ยังอยู่ตั้ง 5 ปี
.
ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ
ถึงบริษัทจะลดเงินเดือน พี่ก็ยังพอยิ้มได้
จริงไหมครับ?
.
พี่จะยิ้มแบบนี้ได้เหมือนกันครับ
โดยพี่ก็แค่แบ่ง 10% ของรายได้
มาออมกับบริษัทประกันชีวิต
หากเกิดอะไรขึ้น
บริษัทประกันจ่ายเงินก้อนโตให้ครอบครัวพี่
คิดเป็นเงินเดือน 60 เดือน หรือ เงินเดือนล่วงหน้า 5 ปี
ให้กับภรรยาและลูกพี่
.
แต่ไม่เกิดอะไรขึ้นมา
เงินที่สะสมไว้กับบริษัทประกัน
ก็คืนกลับให้พี่ไว้ใช้เอง
เมื่อพี่แก่ทำงานไม่ไหว
.
แบบนี้ก็ชนะ-ชนะ ทั้งสองฝ่าย
ครอบครัวพี่ก็ชนะ ตัวพี่ก็ชนะ
.
ถ้าถามว่าวันไหนทำประกันชีวิตดีที่สุด
มันคือวันก่อนวันเกิดเหตุ
พี่ว่าจริงไหม?
.
แต่เราจะรู้ได้ไงว่าวันไหน
ถ้าไม่รู้...
พี่เห็นด้วยไหมว่า
วันที่ดีรองลงมาคือ... “วันนี้”