คุณอยากได้ยินคนรักของคุณพูดคำไหนครับ?
1. “ฉันจะรักเธอจนกว่าชีวิตฉันจะหาไม่”
2. “ฉันจะรักเธอจนกว่าชีวิตเธอจะหาไม่”
.
สองประโยคนี้ต่างกันตรงที่ว่า
“ฉันจะรักเธอจนกว่าชีวิตฉันจะหาไม่” คือ
ถ้าฉันตายความรักของฉันจบลงตรงนั้น
.
แต่…
“ฉันจะรักเธอจนกว่าชีวิตเธอจะหาไม่” คือ
ไม่ว่าฉันจะอยู่หรือตายฉันจะรักเธอจนนาทีสุดท้ายของชีวิตเธอ
ด้วยการทำบางอย่างให้แน่ใจว่า ถึงฉันจะจากไปแล้ว
เธอและลูกจะต้องไม่ลำบาก มีชีวิตที่สดใสงดงาม
.
โปรดอย่าเข้าใจผิด
ผมไม่ได้ต่อต้านการพูดคำว่า “รัก” กับคนรักนะครับ
ผมแค่ขอเสริมว่า รักเขาแล้วก็อย่าลืมทำให้
ความรักเป็น “รูปธรรม”
.
หลายครอบครัวเมื่อหัวหน้าครอบครัวจากไปก่อนวัยอันสมควร
ภาระอันหนักอึ้งตกอยู่ที่แม่บ้าน
คนที่ไม่เคยออกไปหารายได้ อยู่บ้านเลี้ยงลูกดูแลบ้าน
อาจมีชีวิตที่พลิกผันในวันที่สามีจากไป
.
ผู้อ่านเคยไปงานศพใช่ไหมครับ
ผมเคยไปงานศพมากมาย สิ่งที่ผมต้องเจอทุกครั้ง
1.น้ำตาผู้สูญเสีย
2.คำปลอบโยนจากผู้ร่วมงาน ที่บางครั้งคนปลอบก็ลืมเมื่อกลับถึงบ้าน
3.พวงหรีดมากน้อยขึ้นอยู่กับบารมีผู้ตาย ญาติผู้ตาย
4.คนตายไม่ได้มีแต่คนแก่ เป็นได้ทั้งหนุ่มสาว วัยรุ่น เด็ก ทารก
และหลายครั้ง ผมมีโอกาสไปมอบสินไหมมรณกรรมในงานศพ
สิ่งที่ผมเรียนรู้ ทั้งจากสายตาผมเอง และจากปากผู้รับผลประโยชน์
1.คำปลอบโยนล้านคำยังเป็นแค่เพียง “วาจา”
ยังไม่ทรงคุณค่าเท่าเงินจาก “เช็คสินไหม”
2.พวงหรีดวางเต็มศาลายังไม่ช่วยซับน้ำตาเท่ากรมธรรม์ 1 ฉบับ
3.คำว่า รัก + การกระทำ คือ “รักแท้”
4.ภรรยาหลายคนรู้ซึ้งถึงความรักของสามีนาทีที่รับเช็คสินไหม
5.บางครั้งเงินสินไหมไม่ได้ทำให้ร่ำรวย
แต่ช่วยให้แม่หม้ายและลูกกำพร้าฝ่าความยากลำบากไปได้
ถึงวันนี้ผมขอแสดงความนับถือ
และสรรเสริญความรักของหัวหน้าครอบครัวทุกท่าน
ที่ยังดูแลคนข้างหลังแม้ตัวเองไม่ได้อยู่โลกใบนี้แล้ว
ผมจึงกล้าพูดได้ว่า
“เขียนคำว่ารักตัวเท่าฟ้า ยังไม่ล้ำค่าเท่าลายเซ็นในใบสมัครเอาประกัน”