ไม่ทำ “ประกัน” วันนี้
เป็นการเตรียมการอย่างดี
ให้ “ทุกข์ระทม” ในวันหน้า
.
มีใคร “ยอม” คุณแบบนี้ไหม?
.
คุณไปเช่าคอนโด 20 ปี
พอคุณจะย้ายออก
ขอให้เขาคืนค่าเช่าทั้งหมดให้คุณ
เขาจะยอมคืนคุณไหม?
.
คุณทำประกันไฟโรงงานไว้ 20 ปี
แต่ตลอด 20 ปี ไฟไม่ไหม้โรงงานของคุณ
คุณจึงไปขอคืนเบี้ยประกันที่ชำระมาตลอด 20 ปี
บริษัทประกันอัคคีภัยจะยอมคืนคุณไหม?
.
คุณทำประกันรถปอร์เช่คันโปรดของคุณมา 10 ปี
รถไม่เคยเฉี่ยวชนเลยตลอด 10 ปี
คุณจึงไปขอคืนเบี้ยประกันที่ชำระมาตลอด 10 ปี
บริษัทประกันภัยรถยนต์จะยอมคืนคุณไหม?
.
แต่เชื่อหรือไม่...
คุณทำประกันชีวิตเพื่อปกป้องค่าความสามารถของคุณ
ด้วยวงเงิน 20 ล้านบาท เป็นเวลา 20 ปี
เพื่อให้บริษัทจ่ายค่าเสียหายให้ครอบครัวของคุณ
หากคุณต้องจากไปก่อนวัยอันสมควร
จะไม่เหมือนกับสามตัวอย่างด้านบน....
บริษัทประกันต้องคืนเงินให้กับคุณหากคุณไม่เสียชีวิต
คุณจะได้เงินที่คุณได้จ่ายบริษัทประกันชีวิตไป...คืน!!!
.
นี่คือความแตกต่างระหว่าง INSURANCE กับ ASSURANCE
อินชัวรันส์ คือ “การประกัน”
คือ เกิดขึ้นก็ได้ ไม่เกิดก็ได้
เช่นคุณทำประกันรถยนต์
หากเกิดอุบัติเหตุ บริษัทประกันจ่ายค่าเสียหาย
หากไม่เกิดเหตุ บริษัทประกันกินเบี้ยที่คุณจ่าย คุณไม่ได้เงินคืน
แต่ แอสชัวรันส์ คือ “การรับรอง”
คือ ยังไงก็ต้องเกิดขึ้น ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
เช่น คุณทำประกันเพื่อคุ้มครองรายได้
คุณต้องการให้รายได้อยู่กับครอบครัว
ไม่ต้องการให้รายได้ตายตามคุณไป
.
หากระหว่างสัญญาคุณจากไปก่อนวัยอันควร
บริษัทต้องจ่ายเงินก้อนโตตามทุนประกันที่คุณได้ทำไว้
แต่หากคุณไม่จากไป อยู่ครบสัญญา
เขาต้องคืนเงินที่คุณได้เก็บออมมาเพื่อเอาไว้ใช้ยามเกษียณ
แบบนี้คือ “แอสชัวรันส์”
เพราะคนเรานั้น หากไม่อายุสั้นเกินไป ก็อายุยืนเกินไป
ยังไงก็ต้องใช้ “เงิน” ทั้งสองทาง
คุณไม่เก็บ คุณก็ไม่เหลือ
เก็บแบบตามใจ กับ แบบบังคับตัวเองเก็บ
(เก็บกับประกันชีวิต)
คุณเก็บแบบไหน คุณจะมั่นใจอนาคตทางการเงินมากกว่ากันครับ
ดังคำพูดที่ว่า
“หาเก่งสู้เก็บเก่งไม่ได้
เก็บเก่งสู้บริหารเงินเก่งไม่ได้
แต่บริหารเก่ง ก็ยังไม่เจ๋งเท่าวางแผนป้องกันความเสี่ยงทุกด้าน!!”
ประกันคือการเก็บออมที่ควบรวม
“ความคุ้มครอง” ไว้ด้วยนั่นเอง
จึงพูดได้ว่า
“หากไม่วางแผนทำประกันวันนี้
คือการเตรียมการณ์อย่างดี
ให้ตัวเองทุกข์ระทมในวันหน้า”
ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ประกันอุบัติเหตุ
ประกันโรคร้าย ทำเถิดครับ อย่าเสี่ยงเองเลย
