เตรียมทุกอย่างให้ลูกหมดแล้ว คิดว่า ประกันชีวิตไม่จำเป็น

ตัวแทน: ถูกต้องเลยครับ ถ้าเตรียมทุกอย่างให้ลูกเรียบร้อยแล้ว ประกันชีวิตไม่จำเป็นจริงๆ แหละครับพี่

ดีมากๆ เลยครับที่เป็นแบบนั้น ยินดีกับลูกพี่ด้วยจริงๆ ครับ ผมพบลูกค้าสัก 100 คนจะเจอแบบพี่แค่คนเดียว คือ เตรียมทุกอย่างให้ลูกหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องซื้อประกันชีวิต

ทำแบบนั้นก็มีทั้ง “เรื่องที่ดี” และ “เรื่องที่น่าเสียดาย” ครับ

ผู้มุ่งหวัง:  อะไรคือเรื่องที่น่าเสียดาย

ตัวแทน: ผมเชื่อว่าการที่พี่พูดถึงขนาดว่า เตรียมทุกอย่างให้ลูกหมดแล้ว ตัวเลขพี่ต้องเป๊ะมาก การลงทุนของพี่ก็ต้องรอบคอบ จึงวางแผนได้ดีเยี่ยม

ผมเข้าใจถูกต้องไหมครับ

ผู้มุ่งหวัง: อืม แน่นอน

ตัวแทน: เรื่องดีก็คือ มั่นใจแน่ๆ ว่าลูกไม่ลำบาก เพราะเตรียมเงินสดๆ ไว้ให้เขาแล้ว

“เรื่องเสียดายคือ ตัวพี่เองไม่ได้ใช้ประโยชน์จากเงินสดก้อนโตนั้น”

ยังไม่ต้องเชื่อผม

พี่ลองพิจารณาด้วยตัวพี่เองครับ

สมมติว่า พี่เตรียมเงินให้ลูกสิบล้าน เพื่อความแน่นอน พี่ก็คงไม่แตะเงินจำนวนนั้นถูกไหมครับ เพราะถ้าเอาออกมาใช้ ก็ถือว่ากำลังเอาความมั่นคงของลูกออกไป

ที่นี้ พี่คิดว่าใครได้ประโยชน์จากเงินก้อนนั้นล่ะครับ?

ผู้มุ่งหวัง: ใครล่ะ?

ตัวแทน: ก็ธนาคาร หรือสถาบันการเงินที่พี่เอาเงินจำนวนนั้นไปฝากเก็บไว้ไงครับ แบงค์เอาเงินพี่ไปทำประโยชน์ได้ผลประโยชน์ตอบแทนมากมาย

แบงค์เอาเงินพี่ไปปล่อยกู้ ไปปล่อยสินเชื่อบัตรเครดิต แต่แบงค์กลับคืนผลตอบแทนให้พี่ เป็นดอกเบี้ยเงินฝากนิดเดียว แถมดอกเบี้ยที่คืนมา พี่ยังต้องเสียภาษีให้รัฐ 15% มันน่าเจ็บใจนิดๆ

ผมแค่สงสัยว่า ทำไมตัวพี่ที่เป็นเจ้าของเงิน ถึงไม่ใช้ประโยชน์เงินก้อนโตนั้นด้วยตัวเอง?

ผู้มุ่งหวัง: ก็ต้องเก็บไว้เพื่อความมั่นคงของลูกไง

ตัวแทน: วัตถุประสงค์ของการเก็บเงินก้อนนี้ ก็คือเตรียมไว้ เผื่อตอนพี่ไม่อยู่ ลูกจะได้รับเงินก้อนนั้น ลูกจะได้ไม่เดือดร้อน เพราะมีเงินที่พี่เตรียมไว้แล้ว

ถูกต้องไหมครับ

ผู้มุ่งหวัง: แล้วยังไงต่อ...

ตัวแทน: แล้ว...ถ้ามีทางเลือกแบบนี้ล่ะครับ

คือ

พี่ได้ใช้ประโยชน์ในเงินก้อนนั้นในปัจจุบัน โดยที่ลูกก็ยังได้เงินสิบล้านเหมือนที่พี่ตั้งใจไว้เหมือนเดิม

แบบนี้พี่ก็ WIN

ลูกพี่ก็ WIN

วิธีการที่ 1

พี่เอาเงินทั้งก้อนมาบริหารเอง จะไปลงทุนทำธุรกิจเพิ่มเติม ไปเล่นหุ้น ไปปล่อยกู้ หรือการลงทุนอะไรก็แล้วที่พี่ถนัด แล้วพี่ก็เอาผลตอบแทนของการลงทุนมาสักปีละ 3% ก็คือ 300,000 บาท มาออมกับบริษัทประกันชีวิต

ตอนนี้พี่จะมีเงินสดให้ลูกเป็น 2 ก้อนทันที

(วาดรูปไปด้วย)

ก้อนที่ 1 คือ 9.7 ล้าน (ยังไม่คิดรวมผลตอบแทนที่พี่เอาเงินก้อนนี้ไปบริหาร) เพราะเอา 300,000 ไปออมกับประกันชีวิต

ก้อนที่ 2  คือ 10 ล้านในกรมธรรม์ประกันชีวิต ความเจ๋งคือ ฝาก 300,000 แต่ลงบัญชีให้ทันที 10 ล้าน แม้ฝากปีเดียวแล้วผู้ฝากจากโลกนี้ไปก่อน ลูกของพี่ก็ได้รับเงินสด 10 ล้านทันทีอย่างที่พี่ตั้งใจ แผนก็ยังไม่พลาด ลูกก็ยังปลอดภัย แถมได้เงินเพิ่มอีกเท่าตัว

ก็คือได้รับเงิน 2 ก้อน

1.จากบริษัทประกันชีวิต 10  ล้าน

2. ได้อีก 9.7 ล้านที่นำไปลงทุน ยังไม่รวมดอกผลของเงินก้อนนี้นะครับ

ถามว่าทำแบบไหนลูกพี่ได้เยอะกว่ากัน?

บริหารเงินแบบไหนพี่ได้ใช้ประโยชน์จากเงินของพี่มากกว่ากัน

วิธีการที่ 2

ในกรณีที่พี่กังวลว่า พี่เอาเงินไปลงทุนเอง บริหารเงินก้อนที่เตรียมไว้ให้ลูกเองแล้วจะล้มเหลว หรือพี่ต้องการความเสี่ยงต่ำในการลงทุน

วิธีการก็คือ ให้พี่เอาเงินทั้งสิบล้านบาทนั้นไปซื้อหุ้นกู้พื้นฐานดี ผลตอบแทนมั่นคง เช่น หุ้นกู้ของ CPF ที่เปิดขายมาตั้งแต่ปี 2543 ประวัติการจ่ายปันผลดีเยี่ยม

ให้พี่ซื้อหุ้นกู้ของ CPF แบบสัญญา 10 ปี พี่จะได้ผลตอบแทนที่ 4% ต่อปี คือ 400,000 บาท

ที่ผมแนะนำให้เลือกลงทุนหุ้นกู้ตัวนี้ เพราะผลประกอบการที่ผ่านมา 20 ปีดีเยี่ยม จ่ายปันผลตรงเวลา ตรงตามสัญญา

นอกจากนี้ CPF เป็นบริษัทผลิตอาหารเลี้ยงมนุษย์โลก นักลงทุนให้สมญานามบริษัทว่า “ครัวโลก” มีฐานการผลิตหลายประเทศทั่วโลก เมื่อเป็นธุรกิจประเภทอาหาร ความเสี่ยงจึงต่ำเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่น และมีผู้บริหารที่เป็นมืออาชีพบริหารงาน

ด้วยวิธีนี้หลักทรัพย์ของลูกพี่จะกลายเป็นสองก้อนทันทีเหมือนกัน

เงินสดก้อนที่ 1 จำนวนสิบล้านบาท อยู่ในรูปหุ้นกู้จ่ายปันผลปีละ 400,000 (ถ้าเลือกระยะเวลา 10 ปี)

เงินสดก้อนที่ 2 จำนวนสิบล้านอยู่ในรูปกรมธรรม์ประกันชีวิต

ด้วยการบริหารแบบนี้มรดกของลูกพี่คูณสองทันที และได้แน่นอนตามกฏหมาย เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้

สิ่งที่น่าคิดก็คือ

วิธีเดิมที่พี่ใช้อยู่ ณ ตอนนี้ แบงค์ได้ประโยชน์จากเงินพี่ และได้เงินสิบล้านเท่าเดิม

2 วิธีบริหารเงินแบบใหม่ ที่ผมได้คุยให้ฟัง พี่จะได้ใช้ประโยชน์จากเงินก้อนโตของพี่เอง มีสภาพคล่องมากขึ้น มรดกที่ตั้งใจให้ลูกกลายเป็นสองเท่าในทันที

พี่อยากเลือกบริหารมรดกให้ลูกที่วงเงินเท่าไหร่ดีครับ

10 ล้าน หรือ 20  ล้านครับ