ตอบ:
สิ่งที่อยากให้วิเคราะห์มีสองเรื่องครับ
- ทำตามกระบวนการ KNOW LIKE TRUST ครบถ้วนหรือไม่ คุณรู้สึกว่าคุณได้ขายตัวเองขาด จนลูกค้าชอบคุณ ไว้ใจคุณ และฟังข้อมูลจากคุณด้วยความรู้สึกว่าคุณมาช่วยแก้ปัญหา มากกว่าที่จะมาเสนอขายประกันชีวิตหรือไม่?
- หากตัวแทนเปิดใจลูกค้ายังไม่ผ่าน แล้วนำเสนอสินค้าเลย ก็จะมีแรงต่อต้านการขาย (Sale Resistance) ด้วยการสร้างข้อโต้แย้งขึ้นมา และส่วนใหญ่เป็นข้อโต้แย้งเพื่อการบ่ายเบี่ยงตัวแทน ไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง
ดังนั้นคำตอบที่ผมให้คุณไปจึงอาจเป็นคำตอบที่แก้ข้อโต้แย้งที่ปลายเหตุ
สมัยผมเป็นตัวแทนจึงท่องไว้เสมอว่า
“เปิดใจน้อยข้อโต้แย้งเยอะ เปิดใจเยอะข้อโต้แย้งน้อย”
มาดูแนวทางการตอบ
จะเห็นว่าลูกค้าปกป้องตัวเองถึงสองข้อโต้แย้ง
คือ มีประกันสุขภาพเพียงพอแล้ว กับ เศรษฐกิจแบบนี้ขอเก็บเงินไว้เองดีกว่า
เมื่อคุณชวนทำประกันลูกค้าบอกมีเพียงพอแล้ว หากลูกค้าพูดแบบนั้น ผมจะถามลูกค้าว่า “ที่บอกว่าเพียงพอแล้วนี่ เพียงพอตามหลักการบริหารความเสี่ยง หรือ ตอบตามความรู้สึก?”
ลูกค้าจะงงนิดๆ แต่เขาจะบอกว่า น่าจะพอนะ
ถึงตรงนี้ คุณถามเขาว่า เป็นแบบเหมาจ่าย หรือ เป็นแบบแผนค่าห้อง
เมื่อคุณถามรายละเอียด เขาจะตอบไม่ครบถ้วน
คุณบอกว่า
คุณลูกค้าคะ
ความปลอดภัยในทรัพย์สินและการรักษาทรัพย์สินของคุณเป็นเรื่องสำคัญใช่ไหมคะ?
ลูกค้าหลายท่านบอกดิฉันว่าเขามีประกันเพียงพอ แต่เมื่อเจ็บป่วยขึ้นมาจริงๆ ปรากฏว่าต้องจ่ายเพิ่มจนหงุดหงิด เสียอารมณ์ พาลจะยกเลิกกรมธรรม์
คุณลูกค้าอาจไม่ได้เป็นลูกค้าดิฉันในวันนี้ ให้ดิฉันได้สรุปกรมธรรม์ทั้งหมดของคุณลูกค้า ดิฉันทำงานแบบใจแลกใจ ให้คุณเห็นว่าดิฉันเป็นตัวแทนมืออาชีพ ที่ช่วยคุณแก้ปัญหาได้ และชี้แจงรายละเอียดให้คุณเห็นชัดเจน คุณค่อยแนะนำดิฉันให้กับคนที่คุณรักและห่วงใยในภายหลังก็ได้ค่ะ
ปัญหาต่อมา
เรื่องการชวนออมเงิน
ถ้าคุณชวนออมเงินกับประกัน แน่นอนครับ ผลตอบแทนที่ได้รับ ลูกค้าอาจมีทางเลือกที่ดีกว่า และเขาอาจจะพูดถึงข้อด้อยของประกัน (ในแง่การออม) คือ สัญญาระยะยาว หากต้องการยกเลิกกลางทาง ได้เงินไม่ครบ ฯลฯ คุณก็ต้องมานั่งแก้ข้อโต้แย้งอีก แบบไม่จบสิ้น
คุณนำเสนอประกันในแบบที่การออม และการลงทุนอื่นให้ไม่ได้
คุณอาจจะต้องเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอไปในรูปของการคุ้มครองและการสร้างหลักทรัพย์
คุณอาจใช้บทขาย “ทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของคุณคืออะไร” อยู่ในหนังสือบทขายเงินล้าน
หรือบทขายคุ้มครองรายได้ Earning Ability ครับ
ส่วนประเด็นเรื่องขอเก็บไว้เองดีกว่า
ตอบดังนี้
ตัวแทน: ผมเข้าใจดีครับว่าเศรษฐกิจแบบนี้ถือเงินสดไว้รู้สึกอุ่นใจกว่า
แต่เห็นด้วยไหมครับ
บ้านที่เปิดประตูทิ้งไว้ก็ทำให้เรานอนไม่หลับ
อุปมานี้ก็คือ มีเงินสดติดตัวแต่เราไม่ได้ป้องกันด้านอื่น
หลายครอบครัวเสียเงินเก็บทั้งชีวิตเพราะรักษาโรคร้ายเพียงครั้งเดียว
หรือหัวหน้าครอบครัวจากไป เงินเก็บที่มีไม่พอเลี้ยงดูคนข้างหลัง
ไม่มีใครทำสัญญากับพระเจ้าได้
เวลามนุษย์จากไป หลายคนทำให้รายได้ตายตามเขาไปด้วย
แต่ประกันช่วยให้มันยังอยู่กับคนที่พี่รัก
เหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน ยิ่งมีโควิดแบบนี้
การมีหลักทรัพย์ที่แน่นอนการันตีให้ครอบครัว คนที่พี่รัก
ยิ่งทวีความจำเป็นมากกว่าสถานการณ์ปกติ
พี่ไม่จำเป็นต้องเอาเงินทั้งหมดมาทำประกันเพื่อป้องกันปัญหาที่เราคุยกัน
จัดสรร แบ่งส่วนมา เท่านี้คนที่รักก็ปลอดภัย
เหมือนปิดบ้านสนิท ล็อคกลอนเรียบร้อย พี่ก็สบายใจ
พี่คิดว่า สร้างหลักทรัพย์ให้ลูกที่ 500,000 หรือ 1,000,000 ดีครับ
ตอบโดย เจฟ ชัยยะพัส
9 ก.ค. 2564