ลูกค้าแอนตี้ประกันชีวิตเป็นเรื่องปกติครับ
ถ้าเขาไม่แอนตี้ประกันชีวิต เคสนี้จะไม่อยู่มาถึงคุณ
ให้คุณได้ใช้ความสามารถในการช่วยเขาแก้ปัญหา
ลองวิเคราะห์สักนิด
คุณคิดว่าจู่ๆ คนเราเกิดจากท้องพ่อท้องแม่แล้วจะแอนตี้ประกันชีวิตเลยไหม??
ไม่ใช่แน่นอน...มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่เขาเกิด
มันจะต้องมีเหตุการณ์ใดเขาได้ประสบเอง หรือการพบเห็น การได้ยินเรื่องของประกันชีวิตในทางลบๆ
เช่นพ่อแม่อาจเคยบอกว่า "อย่าทำประกันนะ ให้เอาเงินไปลงทุนเองดีกว่า"
ญาติเคยบ่นๆว่า "เบื่อตัวแทน ตามตื๊อ น่ารำคาญ" และทำท่าทีรังเกียจ
หรือ ตัวเขาเองอาจมีประสบการณ์แย่ๆ กับตัวแทนประกันชีวิต
แน่นอนเมื่อแฟ้มข้อมูลในสมองของผู้มุ่งหวังมีแต่เรื่องแย่ๆ เกี่ยวกับประกันชีวิต
เมื่อเขาเจอตัวแทนประกันชีวิต ซึ่งเผอิญวันนี้เป็นคุณ...
คุณคิดว่าเขาจะปฏิบัติตัวกับคุณอย่างไร
ยินดีต้อนรับคุณ ยินดีรับฟังคุณอย่างเป็นมิตร ยินดีซื้อทันที...
ถ้าเป็นอย่างนั้น...เคสนี้คงไม่ถึงมือคุณแล้ว
แต่การที่เขาปฏิบัติด้วยความไม่เป็นมิตรก็ถูกแล้วครับ
คำพูดที่ว่า “อยากดูแลบ้านนี้”
บ่งบอกถึงความต้องการของคุณ
ถ้าเปลี่ยนเป็นพูดว่า “ต้องการแก้ปัญหาให้กับลูกค้า” จะชัดเจนขึ้น
หน้าที่ของตัวแทนคือ “เปลี่ยนมุมมองลูกค้า จากเกลียดประกันเข้าไส้ ให้เข้าใจความจำเป็น และช่วยเขาแก้ปัญหาได้”
แต่ก่อนจะทำตรงนั้นยังมีกำแพงอีกชั้นหนึ่งที่คุณต้องข้ามไปให้ได้
นั่นคือ….กำแพงใจของลูกค้า ที่ปิดกั้นนักขายประกันชีวิต
เขายังไม่เปิดทางให้คุณ คุณพูดอะไรที่เขารู้สึกว่าคุณกำลังเสนอประกันชีวิต เขาจะปิดทุกทาง
ใน 7 ขั้นตอนการขาย (หลักสูตรนี้อยู่ในคอร์ส 7 ขั้นตอนการขาย)
มีกระบวนการก่อนนำเสนอคือ “เปิดใจ” ลูกค้าให้ผ่านเสียก่อน
ตามกระบวนการ KNOW LIKE TRUST
พูดง่ายๆ คือคุณต้องขายตัวเองให้ผ่าน ให้เขาชอบคุณ และไว้ใจคุณ
ถึงตอนนั้นจึงนำเสนอไอเดียการขายได้
วิธีการมีหลากหลาย ผมเคยพูดไว้ในไลฟ์สดหลายครั้ง
ตัวอย่างเช่น
การหมั่นเยี่ยมเยียน ทำความรู้จัก ทำให้เขารู้สึกว่าคุณเป็นเพื่อน คุณยืนข้างเขา มาช่วยเขาแก้ปัญหา มากกว่าที่จะมาล้วงเงินในกระเป๋า
ให้จำหลักการนี้ไว้ “เปิดใจเยอะ ปัญหาน้อย, เปิดใจน้อย ปัญหาเยอะ”
ส่วนถามว่า เมื่อไรจึงจะเปิดใจผ่าน ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลครับ และวิธีการเปิดใจของตัวแทน
.
.
สำหรับผมเอง ผมก็จะบอกลูกค้าว่า….
ผมเข้าใจดีถ้าพี่ชอบประกันก็แปลก ไม่มีใครชอบประกันหรอก
จริงไหม??? และผมสัญญาผมจะไม่ขายพี่ ถ้าพี่ไม่ขอซื้อเอง แฟร์ไหม?
เงียบ รอให้เขาแสดงความคิดเห็น
พี่เบื่อตัวแทนที่พยายามมาตื๊อขายใช่ไหม หรือ ประสบการณ์เลวร้ายอะไรหรือครับ?
.
ผมเข้าใจดี
เวลาชีวิตปกติสุข หากมีเซลส์แมนมาพบสามคน
คนหนึ่งขายบ้าน คนหนึ่งขายรถ คนหนึ่งขายประกัน
ผู้คนย่อมอยากคุยกับเซลส์สองคนแรก เพราะบ้านและรถเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องการ
เซลส์ประกันคือพวกที่ไม่มีใครอยากคบหา ถ้าเห็นหน้าก็อยากจะไล่ไปให้ไกล
แต่เชื่อไหมในวันที่ไม่ปกติ ในงานศพ
ผมเคยเจอแม่ม่ายคนหนึ่ง
ถ้าถามว่า ณ เวลานั้น เธออยากเจอใคร
ระหว่างเซลส์ขายบ้าน ขายรถ หรือตัวแทนประกันชีวิต
ใช่ครับ….
เธออยากเจอตัวแทนประกันชีวิต
เธออยากถามตัวแทนว่าวันนั้นที่มาคุยกับสามีของเธอ
เขาได้ซื้อประกันไว้หรือเปล่า
เพราะวันนี้ รายได้ของเขาได้ตายตามเขาไปแล้ว
มีแต่ประกันเท่านั้นที่เป็นแหล่งรายได้สุดท้ายที่จะการันตีว่าเธอและลูกจะไม่เดือดร้อน
ประกันจึงไม่มีอะไรมากไปกว่า
โชคดีที่ซื้อไว้ กับ โชคร้ายที่ไม่ได้ทำ
ยิ่งในสถานการณ์สุ่มเสี่ยงแบบนี้ โควิดระบาดหนักที่บ้านเรา
ถามว่ามีประกันไว้ กับไม่มีประกัน อะไรทำให้อุ่นใจกว่า
.
น้ำท่วม แล้วค่อยสร้างเขื่อน ไม่ทันการณ์
เรือล่ม แล้วค่อยหัดว่ายน้ำ ไม่ทันการณ์
เกิดเหตุ แล้วค่อยทำประกัน ไม่ทันการณ์เช่นกัน
.
วันนี้ขณะที่เราคุยกัน ปัญหานี้ยังอยู่กับครอบครัวของพี่
พี่จะแบกไว้เอง หรือ ให้ผมเอากลับไปดีครับ