โดย ชัยยะพัส อินจงกลรัศม์ 17/7/64 16:45 จากผู้ถาม (:) @พี่เจฟ ชวนเพื่อนออมเงินให้ลูกผ่าน กธ ประกันชีวิต แต่เพื่อนตอบกลับมาว่า
ไม่มีตังฝากเลย ของเราลงทุนกับการศึกษาหมด ให้ไปหาเอาเอง มีให้แค่ ให้ความรู้เท่าที่เราคิดว่าดีที่สุด
เราควรตอบกลับไปว่าอย่างไรดีคะ
ทั้งๆที่เค้าเป็นเสาหลักของครอบครัวค่ะ TT
พออธิบาย ถึงเรื่อง ปย ของประกันชีวิต
เพื่อนก็กวนกลับมาแบบนี้ ถึงไม่ค่อยอยากจะคุยกะเพื่อนเลยค่ะ
เราไม่ได้ฝากเลย ไม่ยึดติด ถึงเวลานั้นเราก็ไม่รับรู้แล้ว เป็นหน้าที่ของคนที่อยู่ต้องสู้ต่อไป แต่ต้องนี้ที่ทำได้คือส่งให้เรียน เท่าที่เด็กจะสามารถพัฒนาศักยภาพของเด็กได้ ครับ ใช้ก็อยากฝากนะ แต่ค่าเรียนสำคัญกว่า
ควรปล่อยเขาไปใช่ไหมคะ 555
พี่เจฟตอบ (:)ลองทบทวนสักนิดหนึ่งว่า
คุณสร้างสายสัมพันธ์กับเพื่อน
แบบที่เขารู้สึกว่า คุณมาช่วยเข้าแก้ปัญหา ไม่ใช่เขารู้สึกว่าคุณมาเพื่อขายประกันชีวิต หรือมาพยายามล้วงเงินในกระเป๋าเขา แล้วหรือยัง?
ข้อโต้แย้งฟันธงได้ 101% ว่าเป็นข้อบ่ายเบี่ยง
สืบเนื่องจากยังสร้างสายสัมพันธ์ไม่มากพอ
คุณอาจคิดว่าก็เป็นเพื่อนกัน ต้องมาสร้างสายสัมพันธ์อะไรอีก
จริงครับเป็นเพื่อนกัน แต่ตอนนี้เขารู้ว่าเขากำลังถูกขาย
ยิ่งคุณให้เหตุผล พูดประโยชน์ประกัน เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าถูกรุกคืบ
เขาจึงต้องสร้างข้อบ่ายเบี่ยงขึ้นมาปฏิเสธคุณ
ซึ่งข้อบ่ายเบี่ยงฟังดูแล้วคุณอาจ เหวอ แล้วคิดในใจว่า คิดอย่างนั้นจริงเหรอ
วิธีตอบก็พอมี
แต่ถ้าให้ดีย้อนไปทำขั้นตอนเปิดใจดีดี (อาจไม่ใช้เวลาวันเดียว อาจเข้าพบหลายครั้ง) หากเข้าไว้ใจคุณ เขาจะซื้อด้วยความเต็มใจ
ถ้าคุณไม่เข้าใจกระบวนการขายจริงๆ แล้วคุณไม่วิเคราะห์การขายของตน ยกความผิดพลาดว่า ลูกค้าคิดอะไรแบบนั้น คุณก็บอกกับตัวเองว่า “ถึงไม่อยากคุยกะเพื่อน” คิดซ้ำๆ ความเชื่อกลายเป็นความจริง จิตใต้สำนึกจะสั่งการว่า อย่าขายเพื่อน ขายยังไงก็ไม่สำเร็จ
(พูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ)
แหม เธอถ้าเธอจะไม่ซื้อประกันกับฉันน่ะ บอกกันดีดีฉันก็โอเคนะ (หัวเราะไป ยิ้มไป)
เพราะในใจฉันคิดว่าฉันมาเพื่อขอแทนหลาน ขอให้หลานได้มีโอกาสเรียนจนจบ ขอให้คุณพ่อส่งเขาให้ถึงฝั่ง
เพราะหลานคงไม่สามารถมาขอเองกับพ่อได้ว่า “คุณพ่อ คุณพ่อ ช่วยทำประกันเพื่อปกป้องหนูด้วย
หนูอยากเรียนจนจบ”
เธอไม่ได้ทำผิดอะไร
หลายๆ คนก็ไม่ซื้อประกันชีวิต เพราะเขาคิดว่า เขามีทางป้องกันความเสี่ยง เขาแบกรับความเสี่ยงเองไหว
เหมือนกันกับที่หลายคนไม่ซื้อประกันรถยนต์ เพราะคิดว่าถ้ารถชนขึ้นมา เขาก็จ่ายเองได้
ทีนี้อย่างที่เธอพูดว่า “ถึงเวลาตายไปก็ไม่รับรู้เรื่องราวแล้ว คนที่อยู่ก็ต้องสู้ต่อไป”
ฉันก็เข้าใจเธอนะ เธอก็ทำดีที่สุดของเธอแล้ว จริงไหมเพื่อน?
(เงียบ จ้องตาหาความจริง มีรอยยิ้มที่จริงใจ รอจนกว่าเขาจะพูด)
เอาจริงๆ ถามเธออีกที
ถ้าย้อนเวลากลับไปตอนเธอเป็นเด็ก
แล้วพ่อแม่เธอพูดกับเธอแบบนั้นบ้าง
เธอรู้สึกยังไง?
(เงียบ ไม่ต้องรีบพูด)
เธออาจจะไม่โกรธ เธออาจจะเข้าใจท่าน
แต่ลึกๆ เธอรู้สึก “น้อยใจ” ใช่ไหม ว่าทำไมท่านไม่ปกป้องเธอต่อ
เธอบอกว่า ทำได้ที่สุดคือส่งให้เรียน เท่าที่เด็กจะสามารถพัฒนาศักยภาพของเด็กได้
ฉันถามเธอนะว่า
หากเมื่อวานนี้เกิดอะไรขึ้นกับเธอ
เธออยู่บนสวรรค์มองลงมา เห็นครอบครัวโกลาหล
ทุกคนร้องไห้เสียใจ ที่คุณพ่อต้องมาจากไป
แต่มีอีกสิ่งหนึ่ง
นอกจากครอบครัวจะขาดรายได้จากเธอตลอดกาลแล้ว
ที่สำคัญ ลูกๆ จะไม่ได้เรียนต่อ
แล้วเธออยู่บนสวรรค์นั่น มองเห็นได้ รับรู้ได้
แต่ช่วยพวกเขาไม่ได้....
เอาจริงๆ นะ
เธอทน...ไหวไหม......
(เงียบ)
เธอเจ็บไหม.....
(เงียบ)
เพื่อน...
อย่ารอให้วันนั้นมาถึงแล้วแก้ไขอะไรไม่ทันการ
วันนี้เธอปฏิเสธฉันได้ แต่อย่าปฏิเสธลูกเธอเลย
ก่อนฉันมา ปัญหานี้ก็อยู่กับครอบครัวของเธอ
ขณะที่เราคุยกัน ปัญหานี้ก็ยังอยู่
ทำไมเธอไม่ให้ฉันเอา ปัญหา นี้กลับไปกับฉันล่ะเพื่อน
จากผู้ถาม (:)เป็นเพื่อนสมัยประถม ที่ออกจะกวนๆกันน่ะค่ะ แล้วก็ชวนออมเงินในลูกไปในไลน์กลุ่มเพื่อน ไม่ได้นัดเข้าพบ คุยแบบเห็นหน้าค่ะ
แล้วพิมพ์ตอบมาแบบนี้ค่ะ แต่ไม่ตื๊อนะคะ
มีคนอีกหลายล้านคนที่เค้าอยากทำค่ะ
ถ้าคุยแล้วเสียสุขภาพจิต มาเถียงแบบข้างๆคูๆ ป ปลา คิดว่า คุยกับเพื่อนที่มีทัศนคติดีๆ ดีกว่าอีกค่ะ
ขอบคุณมากๆนะคะ
พี่เจฟตอบ (:)โอ้ว ถ้างั้นผมเข้าใจผิด
ผมนึกว่าคุยแบบเห็นหน้า
ตัวหนังสือไม่ได้บอกอะไรครับ
คุณไม่เห็นสีหน้า อารมณ์เขา
ผมไม่เคยแนะนำให้ขายทางไลน์
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แชทขายทางไลน์
คำแนะนำใหม่
แนะนำให้ทำนัดเข้าพบแบบเห็นหน้า
คุณจะได้เห็น ภาษากาย น้ำเสียง เขาชัดเจนครับ
คำสุดท้าย...
“เมตตา” ครับ
มองเขา ก่อนมองเรา
แก้ปัญหาให้เขาครับ
ช่วยเขาเราได้
เติมเขาเราเต็ม
อาจารย์ผมสอนเสมอว่า
จะช่วยเขา ให้ลด “ตัวตน” ของเรา
ซึ่งกลายเป็น มายเซ็ต สำคัญของผมในการใช้ชีวิตและทำงานครับ
จากผู้ถาม (:)@พี่เจฟ ค่าพี่เจฟ ขอบคุณสำหรับ mind set ดีๆค่ะ (ขอร้อง)
ดู 574, ตอบ 1