โดย ชัยยะพัส อินจงกลรัศม์ 19/7/64 19:36 จากประสบการณ์ของผม การขายประกันชีวิตให้กับลูกค้าที่มีกรมธรรม์อยู่แล้วง่ายกว่าขายให้กับคนที่ไม่เคยซื้อประกันชีวิตเลย เพราะลูกค้ากลุ่มนี้เคยผ่านการถูกขายมาแล้ว ดังนั้นพวกเขาเข้าใจประกันชีวิตได้ดีในระดับหนึ่ง
ขั้นตอนที่ 1 แสดงความยินดี
ยินดีด้วยครับพี่ พี่เป็นคนส่วนน้อยมากๆ ในประเทศเรา เพราะคนไทยซื้อประกันแค่เพียง 37% ในขณะที่ชาติที่พัฒนาแล้วซื้อกันเกิน 100%
ถ้าผมพูดแบบบ้านๆ นะครับ แปลว่า คนไทย 100 คนเสียชีวิตลง
มี 37 ครอบครัวที่มี “เงินสด” เพื่อเลี้ยงดูครอบครัว หรือ เป็นมรดกให้กับคนข้างหลัง ในขณะที่อีก 63 ครอบครัว ผู้เสียชีวิตค่าตัวเป็น “ศูนย์” จากไปแบบไม่มีค่าตัวหรือมรดกให้กับคนข้างหลัง และอาจเป็นภาระให้กับคนข้างหลังในเรื่อง “ค่าใช้จ่ายครั้งสุดท้ายของชีวิต” อีกด้วย
คุณลูกค้าลองทายดูครับว่า ประเทศในเอเชีย อย่างญี่ปุ่น สิงคโปร์ ผู้คนในชาติเขามีประกันชีวิตสักกี่%
(ให้ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับคุณ ได้แสดงความคิดเห็น เพื่อไม่ให้เหมือนคุณพูดอยู่คนเดียว)
ณ สิ้นปี 2561
ญี่ปุ่น 322%
สิงคโปร์เพื่อนบ้านเรา เป็นประเทศเดียวในกลุ่มอาเซียนที่นับว่าเป็น “ประเทศที่พัฒนาแล้ว” สัดส่วนคนทำประกันชีวิตถึง 267%
อเมริกา ยุโรป 200% ขึ้นไป
นั่นเป็นดัชนีชีวิตความมั่งคั่งของคนในชาติเขา
คุณลูกค้าเห็นด้วยกับเรื่องนี้ไหมครับ?
มีคำกล่าวจากผู้ประสบความสำเร็จระดับโลก
“อยากรู้ว่าใครประสบความสำเร็จในชีวิตแค่ไหน ให้ไปดูกรมธรรม์ที่เขาครอบครอง”
คุณลูกค้าว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนั้น?
(หมายเหตุ: สัดส่วนคำถามที่ตัวแทนถามขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความเหมาะสม ให้ดูกลมกล่อม พอเหมาะ พอดี ไม่มากไป น้อยไป หากโน้มน้าวใจผู้มุ่งหวังได้แล้ว ก็ให้ทำขั้นตอนต่อไป)
ขั้นตอนที่ 2 ทำให้ลูกค้าฉงน สงสัย
ตัวแทน: ในกรณีของคุณลูกค้า สิ่งที่เกิดขึ้น ณ ขณะนี้มี 2 อย่างครับ
(นิ่ง ยิ้ม ค่อยๆ พูด แสดงท่าทีของมืออาชีพ)
ลูกค้า: ???
ตัวแทน: กรณีที่ 1 มีประกันชีวิต =>น้อยไป
กรณีที่ 2 มีประกันชีวิต =>มากเกินไป
ถ้ามีน้อยเกินไป อุปมาเหมือน เรือไททานิกที่มีขนาดใหญ่มาก จนมีคนพูดว่า “แม้แต่พระเจ้ายังจมเรือลำนี้ไม่ได้”
ข้อเท็จจริงคือ มีผู้โดยสารนับพัน แต่เรือชูชีพกลับมีเพียงหลักสิบ ตอนเกิดเหตุเรือชนภูเขาน้ำแข็ง คนเสียชีวิตมากมายไม่ใช่เพราะเรือจมนะครับ แต่เพราะเรือชูชีพไม่พอต่างหาก
ประกันชีวิตก็เช่นกัน หากมีน้อยเกินไป เมื่อเกิดปัญหาอาจไม่พอที่จะแก้ไขปัญหา เช่นลูกค้าทำธุรกิจ กู้เงิน 100 ล้าน โดยเอาที่ดิน โรงงาน ฯลฯ ไปค้ำประกันกับแบงค์ แต่ทำประกันไว้ 5 ล้านเท่านั้น
สรุปว่า ทำธุรกิจเพื่อธนาคารซะงั้น พอเกิดเหตุแทนที่ครอบครัวจะได้รับประโยชน์ ธนาคารก็เอาไปหมด
กรณีที่ 2 มีประกันมากเกินไป
ไม่มีอะไรมากไปกว่าคำว่า “เสียดาย” ครับ
(เว้นวรรค นิ่งบ้าง) หากจ่ายเงินซื้อประกันเกินความจำเป็น
พี่เห็นด้วยไหมครับว่า
แทนที่พี่จะได้เอาเงินของพี่เองไปทำประโยชน์อย่างอื่น หรือเอาเงินต่อยอดธุรกิจให้ธุรกิจของพี่เติบโตขึ้น
กลับกลายเป็นว่า ฝ่ายที่ได้ประโยชน์จากเงินพี่มากที่สุด กลับเป็นบริษัทประกันชีวิต
พี่คิดว่าเอาเงินมาทำประโยชน์เองดีกว่าไหมครับ?
(ถามความเห็นลูกค้า และเช็คปฏิกิริยา)
ลูกค้า: .....
ตัวแทน: แล้วคุณลูกค้าคิดว่า คุณลูกค้าอยู่ในกรณีไหนครับ?
ลูกค้า: ไม่แน่ใจ
ขั้นตอนที่ 3 เสนอทางแก้ไขปัญหา และสร้างโอกาส
ตัวแทน: พี่กับผมอาจไม่ได้ทำธุรกิจด้วยกัน พี่อาจไม่ได้เป็นลูกค้าผมในวันนี้ แต่ทักษะ และความเข้าในการออกแบบการแก้ปัญหาให้กับลูกค้าอาจมีประโยชน์กับคนอื่นๆ อาจเป็นญาติของพี่ เพื่อนๆ ที่รักที่อาจยังไม่เข้าใจผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตอย่างแท้จริง
แต่ประเด็นก็คือ พี่ยังไม่รู้เลยว่าผมมีความสามารถอะไรบ้าง และมีความสามารถขนาดไหน?
ให้ผมได้ลองทำงานให้พี่เห็น โดยไม่มีข้อผูกมัดใดใดดีไหมครับ?
พี่ไม่จำเป็นต้องซื้ออะไรจากผม
ให้ผมได้ลองสรุปสาระสำคัญของกรมธรรม์แต่ละฉบับ วิเคราะห์แบบชัดๆ เลยว่า กรมธรรม์ทุกฉบับที่พี่ถือครองได้แก้ปัญหาของพี่แบบเบ็ดเสร็จแล้วหรือยัง?
ที่สำคัญนะครับ “สรุปแบบดูง่าย พกติดตัวได้ด้วย”
ถ้าพี่เห็นเนื้องานที่ผมทำแล้ว พี่จะรู้ทันทีว่าผมเป็น
มือสมัครเล่น
หรือ
มืออาชีพ
ถ้าผมยังดีไม่พอ พี่พูดตรงๆ แรงๆ ไม่ต้องยั้ง
ด่าให้ผมสำนึก เพื่อให้ผมพัฒนาก้าวต่อไป
อันนั้นผมจะขอบคุณพี่ถึงที่สุดครับ
แต่ถ้าผมดีพอ
พี่แนะนำให้ผมไปช่วยแก้ปัญหาให้เพื่อนๆ ของพี่
คนที่พี่ห่วงใย ผมจะทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถไม่ให้เสียชื่อผู้แนะนำเด็ดขาด
และอีกอย่างนึงนะครับ หากวันหนึ่งเขาเดือดร้อนขึ้นมาจริงๆ พี่อาจไม่อยู่ในสถานะที่ช่วยครอบครัวเขาได้เต็มกำลัง
การที่เขาเตรียมการล่วงหน้าเพื่อแก้ปัญหาให้ครอบครัวเขาเอง ย่อมดีกว่าไหมครับพี่?
ถ้าเป็นแบบนี้
แฟร์ดีไหมครับ?
_______________
การสื่อสารกับลูกค้าในลักษณะนี้
ทั้งหมดทั้งมวล ขึ้นอยู่กับ “mindset” ที่แข็งแรง และ”ทักษะทางการสื่อสาร” ของคุณแล้วล่ะครับ
สิ่งที่คุณต้องวิเคราะห์คือ
วิเคราะห์กรมธรรม์ที่เขามีทั้งหมดแก้ไขปัญหาทางการเงินครบรอบด้านแล้วหรือยัง หากเขาต้องจากครอบครัวไปก่อน โดยหลักการ ควรประกันรายได้อย่างน้อย 5 ปี หากเขาเป็นหนี้เงินกู้สถาบันการเงินต่างๆ ก็ต้องครอบคลุมหนี้สินทั้งหมด ไม่ใช่หากเกิดเหตุคนข้างหลังต้องมาแบกรับใช้หนี้อีก คุณก็ต้องวิเคราะห์และหาคำตอบ หาวิธีแก้ปัญหาให้ลูกค้าให้ได้
2. วิเคราะห์สวัสดิการค่ารักษาพยาบาลของสมาชิกทุกคนในครอบครัวมีครบหรือยัง เราอุปมาประกันชีวิต
เหมือน “ร่มชูชีพ” คุณลูกค้ามีแล้ว แล้วสมาชิกในครอบครัวติดร่มชูชีพกันทุกคนแล้วหรือยัง?
3. หากเขาจำเป็นต้องซื้อความคุ้มครองเพิ่ม ให้เหตุผลที่ดี ที่จะทำให้เขารู้สึกว่า การซื้อเพิ่มในครั้งนี้เป็นประ
โยชน์กับเขาอย่างแท้จริง แสดงออกถึงความเป็นมืออาชีพ
ดู 913, ตอบ 0